เราจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา เพื่อให้เดินอยู่บนมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ไปโง่ไปหลงในของเป็นคู่ๆ ของเป็นคู่ที่ระบุเป็นข้างใดข้างหนึ่ง โดยเด็ดขาด นั้นไม่ใช่อิทัปปัจจยตา แต่เป็นสิ่งสมมุติ พูดอีกแบบคือการถอนอุปทาน จากการแยกโลกเป็นขั้วเป็นข้างนั้น ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดในการหยั่งถึงความจริง อีกทั้งเป็นวิธีเดียวที่จะเชื่อมความจริงสมมุติ เข้ากับความจริงปรมัตถ์
ความสว่างความมืดสั้นยาวขาวดำ (อไทฺวตธรรม) ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสัมพัทธ์ทั้งสิ้น และไม่เป็นอิสระจากกัน เฉกเช่นนิพานและสังสารวัฏ ไม่ได้แยกขาดจากกัน สรรพสิ่งมิได้แยกเป็นสองขั้วเช่นนั้น ไม่มีนิพานที่ปราศจากสังสารวัฏ ไม่มีสังสารวัฏที่ปราศจากนิพาน เนื่องจากเงื่อนไขการดำรงค์อยู่ของสรรพสิ่งไม่มีลักษณะหักล้างซึ่งกันและกัน
การข้ามพ้นทั้งคู่ คือความเห็นความว่าง และการเข้าใจความว่าง หมายถึงการมองเห็นความสัมพันธ์ที่อาศัยกันอยู่ เกิดขึ้นมีอยู่ ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง มองเห็นแม้ความเชื่อมโยงสัมพันธ์ของสิ่งที่ดูเหมือนขัดแย้งกัน ด้วยเหตุนี้การหยั่งถึงความว่าง จึงเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับหลักธรรมสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งได้แก่มัชฌิมาปฏิปทา หรือที่เรียกว่า ทางสายกลาง นั้นคือการถอนอุปทาน จากความคิดที่สุดโต่งทั้งปวง มองเห็นความสมมุติของทวิภาวะ เห็นความไม่จริงของบัญญัติต่างๆ ที่ผู้คนมักยกอ้างมาขัดแย้งกัน โดยลืมไปว่าทั้งหมดเป็นเพียงสมมุติสัจจะ เป็นความจริงสัมพัทธ์ที่ขึ้นตรงกับนานาปัจจัย ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวร อย่างนี้เรียกว่าติดกับต่อทวิภาวะ และจะเกิดทุกข์ ไม่สามารถเปลื้องทุกข์ได้ หากไม่ถอนตัวสู่มัชฌิมาปฏิปทา
"จิตที่ติดในข่ายแห่งความคิดนั้นคือความหลง เป็นการสนับสนุนอัตตาในระดับเหตุผล"
ผมเห็นด้วยกับประโยคที่ว่า "การพูดถึงหลักธรรมไม่ได้หมายความว่าตัดเรื่องทางโลกทิ้งไป เพราะธรรมะโอบอุ้มโลกทั้งโลกไว้แล้วในฐานะกฎเกณฑ์ที่ดำรงอยู่โดยธรรมชาติ เราจะเข้าใจธรรมะได้ก็โดยผ่านการพิจารณาประสบการณ์ทางโลกเป็นสำคัญ" ในสถานะการณ์ทุกวันนี้ ไม่ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน การเมืองในประเทศที่หาข้อยุติมิได้ ทางออกของการแก้ไขปัญหาทั้งปวง กับมาอยู่ที่ตัวเราเอง มิใช่คนอื่น
นี้คงเป็นเวลาที่พิจารณาความจริงอันยิ่งใหญ่แล้วว่า สมมุติสัจจะ ที่ครอบงำด้วยวัตถุนิยม มิใช่ทางออก แต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตปกติสุข ได้ต้องกลับมาที่ตัวเราเอง และจิตวิญญาณของเราเอง บนทางสายกลาง
ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตอบคำถามพระอานนท์ เกี่ยวกับสภาพสุญญตาของโลกว่า "โลกสูญ...เพราะว่าสูญจากตนและจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน"
นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman
9/10/51
บางส่วนจากงาน"แพ้ชนะถึงที่สุดแล้วก็เป็นสุญญตา" เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น