Pages

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ technology แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ technology แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธ, สิงหาคม 28

มายาเทค

มายาเทค กับประเทศไทย
"เศรษฐกิจถดถอย อุปทานหมู่ ที่เป็นจริง"
เหตุเพราะ เราเล่นกับ Future มากเกินไป

ในศาสนาพุธ กล่าวไว้ว่า “ให้ดำเนินชีวิตโดยอยู่กับปัจจุบัน” แต่หลายครั้งที่เรา ก็จะแย้งว่า ชีวิตเราต้องมีอนาคต และทุกคนที่มีลมหายใจอยู่ ก็ต้องการอนาคตที่ดีขึ้น
ด้วยเหตุปัจจัยที่กระตุ้นกิเลสของเราเอง ทำให้การรู้เท่าทันสถานะการณ์รอบข้างได้น้อยลง

"เราเล่นกับ Future มากเกินไป" ในส่วนประกอบของเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นอยู่ ผมขอหยิบยกตัวอย่างสักเรื่อง อันได้แก่
ธุรกิจ e-Commerce เรากำลังเผชิญ "มายาเทค" ที่มาเป็น platform ข้ามชาติ ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมความเป็นอยู่ เจ้าใหญ่ที่มาฆ่ารายเล็กรายน้อย ที่ปรับตัวไม่ทันและทุนไม่ถึง ทำลายโครงสร้าง การตลาด ระบบขนส่ง และอื่นๆ ชนิดที่ทุกคนต้องถอยเพราะไม่สามารถเห็นสภาพขาดทุนแบบนั้น นานๆ ได้
เจ้าใหญ่ที่ active อยู่คือ Lazada และ Shopee ยังไม่พบคำว่ากำไรมากว่า 3 ปี ล่าสุดปี 2018 ขาดทุนกว่า 4 พันล้านบาท รวมแต่เปิดมาเกือบหมื่นล้าน ซึ่งไม่แปลก ที่ต่างธุรกิจก็ต้องมีจุด ROI
ซึ่งชุดความคิดนี้ ถึงมีความเสี่ยงผู้เล่นในไทยก็ยอมสู้ เป็นทีมงานขั้นเทพก็ว่าได้แต่สู้ข้ามชาติไม่ได้ตรง ทุนที่หนาจ่ายแบบไม่อั้น ก็ต้องยอมกลุ่มจีน (Alibaba) จนในตลาดปัจจุบันของ e-Commerce ไทยมี active หลักเพียงแค่นี้ ยังไม่มีใครได้กำไรจากงานนี้ยกเว้น พวกที่ทำโลจีสติก อย่างเช่น Kerry เป็นต้น ที่กำไรงามและมีทีท่าว่าจะแซงรายใหญ่ในไทยเสียด้วย


E-commerce platform ขาดทุนเยอะขนาดนั้นทำไมยังคงทำธุรกิจต่อ ?
คำตอบคือ อยู่เพราะอนาคต
อีกทั้งจำนวนผู้ใช้งานกินประชากรมากขึ้น มีโอกาสคืนทุนได้ในไม่ช้า บริษัทโตขึ้น เงินหมุนเวียนจากบริษัทแม่ และธนาคาร เพื่อพยุงให้ทำธุรกิจต้องเดินต่อได้ .... (แบกกันต่อไปนะ Startup)

ด้วยการเล่น Future เกินไป ทำให้ Supply Chain ในประเทศไทย ทึ่ยังปรับตัวไม่ทัน จึงกระทบไปด้วย
และเมื่อแบกและเข็นกันไปไม่ไหว ก็ต้องหาทางลงแบบไม่เข้าเนื้อใคร (สร้างสกุลเงินใหม่มาล้างเลยไหม)

ไม่ต่างกับธุรกิจ Entertainment ก็เล่น Future เกินไป โดยเฉพาะธุรกิจ streaming online มาลักษณะเดียวกันคือ เป็น Platform ข้ามชาติ สะดวก ใช้งานไม่สะดุด เบื้องหลัง Infra ขนาดใหญ่ มิได้เพียงเสกขึ้นมาฟรี ทุกอย่างย่อมลงทุน และเป็นการลงทุนไม่น้อย ก็เป็นเช่น e-Commerce คือขาดทุนตลอด เพื่อต้องการได้มีผู้ใช้งานจำนวนมาก และมาทำลาย Supply Chain ในประเทศ ที่ยังปรับตัวไม่ทัน

คำถามเมื่อไหร่ ธุรกิจเหล่านี้จะคืนทุน (ROI) ?
และเป็นเช่นนี้ Platform ข้ามชาติ เข้ามาให้คนติด ทำลาย Supply chain ที่หาเลี้ยงชีพเล็กๆน้อยๆ ของคนในชาติไป

และทั้งนี้ ยังไม่ร่วมกันกับ ธุรกิจอื่น ที่ใช้ นวัตกรรมเศรษฐกิจ ผ่าน platform เช่น อสังหาริมทรัพย์, รถยนต์ และการขนส่ง, การศึกษา พลังงาน การเงินและกลุ่ม Startup ที่ลงทุนกันเยอะเกินมูลค่า ซึ่งหากวิเคราะห์ให้ดี มีน้อยนักที่กำไร ส่วนใหญ่ "เล่นกับ Future เกินไป"

ด้วยเหตุนี้ย่อมกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจเรา ซึ่งมาในรูป "มายาเทค" นี้เอง

การก่อตัวของ "มายาเทค" ประกอบด้วย
(1) รูปแบบ platform ข้ามชาติ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี มี Cloud Infra มี app ที่เข้าถึงง่าย พร้อมทำ Big data ต่อยอดเป็น AI ได้ -->
(2) ปั้มเงินจากนอกประเทศแบบไม่อั้นเพื่อเข้าแทนที่ระบบเดิม -->
(3) คนใช้งานแล้วติด จนต้องใช้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน -->
(4) ทำลายโครงสร้าง เดิมบนห่วงโซ่ธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทัน เข้าแทนที่ อุปสงค์ อุปทาน ที่อ่อนแอ ของคนในชาติ

รวม (1) ถึง (4) ขอนิยามส่วนตัวว่า "มายาเทค"
และมายาเทคนี้แหละ ที่เราภาคภูมิใจหนักหนา กลัวตกยุคดิจิทัลกัน ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งที่เราใช้อยู่เป็นเพียงเปลือก มิใช่แก่น

ภาพ สรุปปรากฎการ์ณมายาเทค 

ปัญหาการถดถอยของเศรษฐกิจ มันเกิดขึ้นในขั้นตอนที่ (2) ปั้มเงินออกมาไม่อั้น นี้แหละ ที่เรียกว่า เล่นกับ Future เกินไป ต่างชาติที่ลงเงินอยู่ได้ แต่โครงสร้างการค้าขายในชาติไทยจะออกอาการเสียมากกว่าได้และโทษเศรษฐกิจแย่ ตามระเบียบ

เงินที่ปั้มขึ้นมาเพื่อพยุงธุรกิจ platform ข้ามชาติ(จีน และอเมริกา) นี้แหละ มีผลกระทบกันและกันผลพ่วงจากสิ่งนี้ย่อมเกิดกับสิ่งนี้
เป็นไปตามกฎปฏิจจสมุปบาท ที่อุปมาอุปไมยดังว่า

"สรรพสิ่งยืมตัวเองมาจากการมีอยู่ของสิ่งอื่น เช่นเดียวกันกับ ในทะเลมีสายฝน ในหยาดฝนมีทะเลกว้าง ละอองไอในก้อนเมฆ แท้จริงแล้วคือท้องทะเลที่กำลังเดินทาง เมื่อเราเห็นฝนก็คือเห็นทะเล เห็นทะเลก็คือเห็นฝน" (จากการบรรยาย เรื่องสุญญตา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล 2549)

ฉันใด เมื่อก้อนเมฆคือหนี้สินก้อนโต ไม่นานต้องเทเป็นฝนลงสู่ท้องทะเลเป็นแน่แท้ และด้วย
ทุกอย่างเชื่อมและกระทบซึ่งกันและกัน เป็น "butterfly effect" แน่นอนกระทบไปหมด (รวมทั้งฮ่องกงก็เป็นได้ : P)

เงินที่ปั้มออกเพื่อสร้าง Platform ข้ามชาติ ต้องมีดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดสุดถนนวิทยุ(เปรียบเทียบ) เพื่อรองรับ Big data และ AI ที่เราชื่นชมกัน

เงินที่ปั้มออกเพื่อพยุงธุรกิจให้ eyeball จำนวนมากเพียงเพื่อให้ app ติดตลาด เมื่อคนติด app จะได้ข้อมูล Big data และพฤติกรรมบริโภคจากเราไปทั้งสิ้น

เพราะตัวเราเอง....ที่เล่นกับ Future มากเกินไป

"มันเป็นเพียง มายาเทค ไม่ต้องตามให้ทันทั้งหมดเราก็อยู่ได้ (จริงไหม)


โปรดอยู่กับปัจจุบัน และรู้เท่าทัน ทุกอย่างมีทางออก
ด้วยความหวังดี

Nontawatt S
20/08/62

วันศุกร์, เมษายน 22

ที่ไหนเน็ตเร็วบ้าง กับ Checkspeed.me


"ที่ไหนเน็ตเร็วบ้าง"

เป็นคำถามที่ทำให้เกิดเป็นผลงานชิ้นใหม่ของทีมพัฒนา SRAN ที่ชื่อว่า "Check Speed Me" เว็บไซต์ http://checkspeed.me
ซึ่งเป็น Project ต่อเนื่องจาก CheckIP Me (http://checkip.me ตรวจสอบตนเองก่อนทำการเล่นอินเทอร์เน็ต)

1. ที่มา
จากที่ได้ทำการทดสอบอินเทอร์เน็ตในหลายๆเว็บไซต์ที่เปิดให้บริการ พบ 3 ประเด็นที่ ทีมงาน SRAN Dev คิดอยากทำระบบตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต (Speed Test) แบบใหม่ที่แตกต่างจากเดิม คือ

1.1 พบว่าในหลายเว็บไซต์ที่ให้บริการตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต (Speed Test) ยังไม่ตอบสนองในเรื่องการระบุตำแหน่งที่ตั้งของการทดสอบความเร็วได้อย่างถูกต้องแม่นยำ หรือ คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงอยู่

1.2 ซอฟต์แวร์ หรือ สคิปต์ (Script) ที่หลายเว็บไซต์ในประเทศไทยนำมาใช้ในการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต (Speed Test) เป็นของต่างประเทศทำเสียส่วนใหญ่ใช้ของ ookla net metrics เกือบทั้งหมดที่ให้บริการในประเทศ

1.3 เมื่อพบว่า ซอฟต์แวร์ หรือ สคิปต์ ที่ใช้ทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต (Speed Test) มักนำเสนอด้วย Flash ดังนั้นหากใช้สมาร์ทโฟนบางยี่ห้อไม่สามารถรองรับการทดสอบความเร็วได้

ทั้ง 3 ประเด็นที่กล่าวมาจึงเป็นที่มาของทีมพัฒนา SRAN จึงได้จัดทำ Check Speed Me ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาทั้ง 3 ประเด็นที่กล่าว และที่สำคัญเมืองไทยเราจะได้มีซอฟต์แวร์ หรือ สคิปต์ ที่เป็นของคนไทยทำมาใช้กับงานในการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต (Speed Test) ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ใช้บริการในการทดสอบความเร็วต่อไป

2. วัตถุประสงค์ ของการพัฒนา
2.1 มีความต้องการที่จะระบุตำแหน่งและพิกัด ของผู้ทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตได้อย่างอัตโนมัติให้มากที่สุด คลาดเคลื่อนจากตำแหน่งผู้ทดสอบความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร โดยไม่ต้องพึ่งระบบ GPS

2.2 จัดทำสถิติเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และผู้ใช้งานที่ต้องการทดสอบความเร็วให้สามารถตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต ในสถานที่ต่างๆได้ อย่างถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น

2.3 ทำระบบให้สามารถระบุค่าตำแหน่ง ค่าไอพี ค่าระบบปฏิบัติการ และค่าบราวเซอร์ เพื่อเป็นการจัดทำสถิติอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบริการของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ถูกต้องมากขึ้น

2.4 รองรับระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบความเร็วได้เข้าถึงผู้ใช้งานมากขึ้น

2.5 สำหรับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่ต้องการทำสอบความเร็วเน็ตของเครือข่ายตนเอง ก็สามารถดูประวัติการทดสอบและตำแหน่งพิกัดได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งออกเป็นรายงานผลอันแม่นยำมากขึ้น

3. วิธีใช้งาน
การใช้งาน Check Speed Me สามารถทำได้ 2 ทางคือ
- ผ่านเว็บไซต์ http://checkspeed.me
- ผ่าน Facebook Application http://apps.facebook.com/checkspeed

ซึ่งทั้งคู่มีการใช้งานเหมือนกัน เมื่อเข้าใช้บริการ Check Speed Me
3.1 ข้อควรปฏิบัติ ดังนี้

- หากใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป ไม่ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ ตั้งโต๊ะ (PC) หรือ โน็ตบุ๊ค (Notebook) ควรใช้บราวเซอร์ (Browser) ที่ทันสมัย เช่น
  • Microsoft Internet Explorer 9.0 and up
  • Mozilla Firefox 3.5 and up
  • Apple Safari 5.0 and up
  • Google Chrome 5.0 and up
  • Opera 10.6 and up
  • iPhone 3.0 and up
  • Android 2.0 and up

ซึ่งในปัจจุบันส่วนใหญ่แล้วบราวเซอร์จะให้ผู้ใช้งานอัพเดทเวอร์ชั่นใหม่ให้โดยอัตโนมัติอยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาในการใช้บริการ Check Speed Me สำหรับใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปทดสอบ

ในคอมพิวเตอร์ควรทำการ Allow location เมื่อบราวเซอร์ (Browser) จากคอมพิวเตอร์ หรือ จากมือถือ ได้ถาม เพราะส่วนนี้จะทำให้ทราบตำแหน่งที่ใกล้เคียงความเป็นจริงของผู้ใช้งานมาก ที่สุด คลาดเคลื่อนไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากตำแหน่งผู้ใช้งาน

- หากใช้สมาร์ทโฟน / Tablet นั้นสามารถใช้บริการนี้ต้องเปิด Location Services ที่ชนิดบราวเซอร์ (Browser) ไว้ก็สามารถใช้งานได้ทันที



เมื่อได้เปิดเข้าเว็บไซต์ http://checkspeed.me จะเห็นว่าบราวเซอร์ถามให้คลิกเพื่อแชร์ตำแหน่ง ให้ผู้ใช้งานคลิก Share Location


การทดสอบความเร็วกดปุ่ม Click here! ระบบจะทำการ Loading เพื่อตรวจสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต

3.2 เมนูและการใช้งาน

เมนูใน Check Speed Me ประกอบด้วย
- Top Speed จัดเรียงสถิติผู้ให้บริการรายใดที่ทำการทดสอบความเร็วแล้วมีค่า Bandwidth สูงที่สุด
(786 x 512)


ภาพแสดงผลสถิติในเมนู Top Speed จากภาพเป็นผลการเก็บสถิตเริ่มต้นในวันที่ 22 เมษายน 2554

- Organization จัดเรียงค่าเฉลี่ย Bandwidth ตามรายชื่อหน่วยงาน / ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต
การวัดค่าความเร็ว Bandwidth ในส่วนนี้จะเกิดจากการวัดจากค่าเฉลี่ย จากจำนวนครั้งที่ทดสอบโดยทำการเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย


ภาพแสดงผลสถิติในเมนู Organization จากภาพเป็นผลการเก็บสถิตเริ่มต้นในวันที่ 22 เมษายน 2554

- Location คือจัดทำสถิตการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต ตามที่อยู่ของผู้ที่ทำการทดสอบ ซึ่งส่วนนี้จะทำให้เราทราบว่า ตำแหน่ง / ที่อยู่ / สถานที่ ใดที่มีความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงสุด ซึ่งค่าการจัดสถิติที่ได้นั้นเป็นค่าเฉลี่ยจากการทดสอบ โดยทำการเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย


ภาพแสดงผลสถิติในเมนู Location จากภาพเป็นผลการเก็บสถิตเริ่มต้นในวันที่ 22 เมษายน 2554

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็ถือว่าเป็นอีกผลงานหนึ่งที่ทีมพัฒนา SRAN ความตั้งใจและภูมิใจนำเสนอ
ช่วงนี้จึงอยากขอความร่วมมือ พี่น้องในสังคมออนไลน์ (Facebook Check Speed ME) ลองช่วยกันทดสอบกันหน่อย เพื่อว่าจะได้มีการแก้ไขปรับปรุงโปรแกรมให้ดีขึ้นต่อไป

นนทวรรธนะ สาระมาน
ขอบคุณครับ

Link ผลงาน SRAN พัฒนา ที่ได้จัดทำในรูปแบบ Web-base Application

SRAN Data Safehouse : http://safehouse.sran.net
SRAN Lookup : http://www.sran.org
Check IP Me : http://checkip.me
Protect your Link : http://sran.it
olo Mission invisible : http://olo.im

วันศุกร์, กรกฎาคม 3

มีข่าวดีมาบอก

คุณสมบัติที่หลายคนรอคอย หลังจากทีมงาน SRAN ได้พัฒนาปรับปรุงคุณสมบัติของอุปกรณ์ให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าพบว่า ลูกค้าต้องการค้นหาพฤติกรรมของ IP Address หรือค่า MAC Address ให้ตรงกับรายชื่อพนักงานในองค์กรได้ โดยไม่ต้องเพิ่มเติมอุปกรณ์อื่น

เร็วๆนี้ทางทีมพัฒนา SRAN ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า HBW (Human Behaviror Warning System) ขึ้น โดยการผสมผสานจากเทคนิค Intrusion Detection System ในระดับ Network Base และ การทำ Passive Inventory ในการตรวจจับรายชื่อพนักงาน ชื่อแผนกของหน่วยงาน ค่า MAC Address มาเชื่อมโยงกับ IP Address (ทั้งแบบ Dynamic และ static IP) ได้โดยไม่ต้องลงอุปกรณ์เสริม มาใช้สำหรับการเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้งานไอซีทีภายในองค์กร โดยรวมเทคโนโลยีไว้ในเครื่องเดียว ไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อความสะดวกในการใช้งาน และคุ้มค่าแก่การลงทุนส่วนการเฝ้าระวังพฤติกรรมการใช้งานถูกออกแบบไม่ให้มี การละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวพนักงานในองค์กร โดยสามารถกำหนด Rule Policy ตามนโยบายบริษัทได้ ซึ่งจะสามารถตรวจจาก Protocol ที่สำคัญและอาจมีความเสี่ยงที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการก่อให้เกิดความเสีย หาย และเกิดภัยคุกคามขึ้น เนื่องจากเป็น Protocol ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เช่น

Web : HTTP, HTTPS

Email : SMTP, POP3, IMAP, Web Mail, Lotus Note, POP3S, SMTPS, IMAPS ซึ่งจะดูเฉพาะ Subject e-mail ในการรับส่ง

Messenger : ICQ, MSN, IRC, AIM, Yahoo, ebuddy, Camfrog ใน Mode Chat สามารถควบคุมได้ว่าจะให้แสดงข้อความการสนทนาได้ ซึ่งเป็นการป้องกันเรื่องความเป็นส่วนตัวพนักงาน

File Transfer : FTP, TFTP ,Files Sharing (Netbios)

P2P : napster, GNUtella, DirectConnect, Bittorrent, eDonkey, MANOLITO, Ares, ed2k, kaaza, soulseek และ VoIP ชนิด P2P เช่น Skype เป็นต้น

Others : Telnet, Remote Desktop, VNC, Radius

โดย เทคนิคดังกล่าวสามารถทำงานได้โดยไม่ต้องลง agent software ที่เครื่อง client ทำให้เกิดความสะดวกในการติดตั้งอุปกรณ์เป็นอย่างมาก การติดตั้ง SRAN Security Center ยังคงเหมือนเดิมคือสามารถติดตั้งได้3 รูปแบบ คือ แบบแรก In-line (ซึ่งทำให้ป้องกันภัยคุกคามในระดับ Application Layer ได้ คือสามารถทำตัวอุปกรณ์เป็น NIPS นั้นเอง) , แบบที่สอง Transparent (สามารถป้องกันภัยคุกคามในระดับ L3-L4) , และแบบที่สาม Passive Mode คือเป็นการเฝ้าระวังอย่างเดียว ทั้ง 3 Mode ในการติดตั้งขึ้นกับขนาดปริมาณข้อมูลในแต่ละองค์กรและตามขนาดรุ่นการใช้งาน ของ SRAN ซึ่งสามารถอ่านได้เพิ่มเติมที่ http://www.gbtech.co.th/th/product/usm

แนวคิด เทคโนโลยีใหม่ HBW (Human Behaviror Warning) ที่ ทีมงานนำมาใช้ ก็เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับองค์กรในการในการเฝ้าระวังภัยคุกคามภายใน หรือที่เรียกว่า "Insider Threat" ที่มีสถิติมากขึ้นทุกๆปี และการสืบค้นหาประวัติเหตุการณ์เพื่อหาผู้กระทำความผิดได้สะดวกมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถเชื่อมกับงาน ทรัพยากรบุคคล HR (Human Resource) ได้ถึงพฤติกรรมการใช้งาน IT ภายในองค์กร ว่ามีพฤติกรรมการใช้งานอันไม่เหมาะสมในเวลางานหรือไม่ หรือมีการลักลอบขโมยข้อมูลภายในองค์กรส่งไปยังที่อื่นนอกเวลางานหรือไม่ ซึ่งทำให้รู้ทันปัญหาการโกง (Fraud) จากคนภายในองค์กรได้อย่างทันเวลาและมีหลักฐานในการประกอบรูปคดี รวมถึงการสร้างเป็นดัชนีชี้วัดรายแผนก รายบุคคล ที่ส่งผลให้สามารถพยากรณ์ถึงการลงทุนระบบไอซีทีในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความสามารถมีคุณสมบัติใหม่ ดังนี้คือ

1. สามารถมองเห็นค่า IP Address เชื่อมโยงกับข้อมูลรายชื่อพนักงานในบริษัท

ภาพ หน้าจอ SRAN Security Center ที่เปลี่ยนไปสามารถเชื่อมโยง IP Address กับชื่อพนักงานบริษัทได้ โดยสามารถได้ทั้งองค์กรที่เป็นระบบ IP แบบ DHCP และ Static IP เนื่องจากเทคโนโลยี HBW ที่ทีมงาน SRAN ได้คิดค้นขึ้นจะสามารถเชื่อมความสัมผัสรายชื่อพนักงานและ IP Address ได้บนระบบเครือข่าย

หากเปรียบเทียบกับการสืบสวนตาม chain of event คือพิจารณาจาก

Who พบว่า SRAN สามารถบอกได้ถึง ชื่อพนักงาน รูปพนักงาน ชื่อแผนก ค่า IP Address ตลอดจนค่า MAC Address ระบบปฏิบัติการของผู้ใช้งานได้

What พบว่า SRAN สามารถบอกถึงพฤติกรรมการใช้งานโดยแยกตามลักษณะ Signature ว่าเป็นการใช้งานชนิดใด เช่น เล่น Web , Mail ,Chat , Upload , download เป็นต้น

Where พบว่า SRAN สามารถบอกถึงลักษณะการสื่อสารตาม Protocol ที่สำคัญและ Port Services ที่ใช้

When พบว่า SRAN สามารถบอก วัน เวลา ที่เกิดขึ้นในแต่ละเหตุการณ์ได้

Why (How) พบว่า SRAN จะสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นพฤติกรรมเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมผ่านเทคนิค NIDS (Network Intrusion Detection System) ที่ดูได้ถึงระดับ Application Layer

2. สามารถจัดเก็บค่า Inventory ชนิดแบบ Passive ทางระบบเครือข่าย ซึ่งทำให้ได้ทราบถึง

- รายชื่อพนักงานบริษัท (Name)

- ชื่อแผนก (Department)

- ชื่อระบบปฏิบัติการของพนักงาน (Operating System)

- ค่า MAC Address แต่ละเครื่องในองค์กร

ภาพ การแสดงผล ค่าคลังข้อมูล (Inventory) ที่ผ่านเทคโนโลยี HBW ที่ทีมงาน SRAN ได้คิดค้นขึ้น จะสามารถเก็บประวัติการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ รายชื่อพนักงาน ชื่อแผนก ชื่อ IP ค่า MAC Address และระบบปฏิบัติการได้ โดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์ (agent) ใดๆ

อีกทั้งเพิ่มคุณสมบัติที่เฝ้า ระวังการที่พนักงานทำตัวเองเป็น Hacker และทำการแอบดักข้อมูล หรือใช้โปรแกรม sniffer ได้อีกด้วย เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Anti-sniffer ที่เป็นแบบ Passive Monitoring บนระดับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สามารถที่จะรู้ถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำการดักจับข้อมูลภายในองค์กรได้อีก ด้วย ซึ่งเป็นการรู้ทันพฤติกรรมของ Hacker ภายในองค์กรมากขึ้นอีกระดับหนึ่ง

3.รายงานผลการใช้งานข้อมูลสารสนเทศตามแผนกงาน , รายบุคคล และภาพรวมของบริษัทได้

ภาพ ประวัติการใช้งานพนักงานในองค์กรที่เป็นรายบุคคล ซึ่งทำให้วิเคราะห์ถึงพฤติกรรมการใช้งานตาม Protocol ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นการทุจริตภายในองค์กรได้ และสามารถเพิ่มรูปพนักงานดังกล่าวลงในระบบได้อีกด้วย

คุณสมบัติทั้งหมด เป็นการวิจัยค้นคว้าเพื่อให้ หลังจากที่ได้สอบถามจากลูกค้าที่เคยใช้ SRAN Security Center มาแล้วทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาจึงเป็นคุณสมบัติที่ เหมาะสม ลดความซับซ้อนของเทคโนโลยีลง และคุ้มค่าการลงทุนในการใช้งานระบบสารสนเทศในองค์กรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากขึ้น

คอยพบกับ SRAN Security Center ใน Version ใหม่นี้ได้เร็วๆ นี้ คิดว่าเป็นประโยชน์ในงานสืบสวนสอบสวน งานตรวจสอบ ดัชนีชี้วัดพฤติกรรมการใช้งานบุคลากรไอซีทีในองค์กร และถือว่าเป็นอุปกรณ์ยาสามัญประจำเครือข่ายที่ทุกที่องค์กรควรมีไว้ใช้งานเป็นอย่างมาก

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman

วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 30

เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยข้อมูล ปี 2009

ภัยคุกคามที่น่าจะเกิดขึ้นในปี 2552 ก็คงไม่ต่างจากปี 2551 นัก แต่จะมีเทคนิคใหม่ เพิ่มความสลับซับซ้อนขึ้น และการสื่อสารที่หลากหลายในช่องทางเข้าถึงข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง Personal Mobile Devices ที่ใช้มือถือเชื่อมต่อข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต จะมีการใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆ ผ่านเว็บแอพพลิเคชั่นมากขึ้น ในรูปแบบที่เรียกว่า Zombie หรือ “ผีดิบซอฟต์แวร์” จำนวนมาก ซึ่งในอนาคตผีดิบพวกนี้จะมาจากมือถือด้วย จึงทำให้จำนวนผีดิบที่มากขึ้นเรียกว่า Botnet เพื่อใช้ประโยชน์ในการโจมตีระบบเช่น DDoS/DoS ส่งผลให้เป้าหมายไม่สามารถปฏิบัติงานได้ หรือเพื่อส่งข้อมูลขยะอันไม่พึงประสงค์ (Spam) รวมถึงการหลอกลวงผ่านสื่ออินเตอร์เน็ต (Phishing) ซึ่งพุ่งเป้าโจมตีมาที่ผู้ใช้งาน (End-user) โดยอาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้งานทั่วไปเป็นเครื่องมือ สิ่งเหล่านี้ป้องกันได้หากรู้เท่าทันภัยคุกคามดังกล่าว...โดยเริ่มต้นจากตัวเราเอง

เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยข้อมูล ปี 2009 มีดังนี้
1. เทคโนโลยี Two-Factor Authentication ปัจจุบันการระบุตัวตนในโลกอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่ใช้เพียง username และ password ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่มิจฉาชีพอาจขโมยข้อมูลและปลอมตัวเพื่อแสวงประโยชน์ได้ (Identity Threat) เทคโนโลยีนี้จึงมีแนวโน้มเข้ามาอุดช่องโหว่ ด้วยการใช้ Token หรือ Smart card ID เข้ามาเสริมเพื่อเพิ่มปัจจัยในการพิสูจน์ตัวตน ซึ่งมีความจำเป็นโดยเฉพาะกับการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ และธุรกิจ E-Commerce

2. เทคโนโลยี Single Sign On (SSO) เข้าระบบต่างๆ ด้วยรายชื่อเดียว
โดยเชื่อมทุกแอพพลิเคชั่นเข้าด้วยกัน ซึ่งมีความจำเป็นมากในยุค Social Networking ช่วยให้เราไม่ต้องจำ username / password จำนวนมาก สำหรับอีเมล์, chat, web page รวมไปถึงการใช้บริการ WiFi/Bluetooth/WiMAX/3G/802.15.4 สำหรับผู้ให้บริการเป็นต้น

3. เทคโนโลยี Cloud Computing เมื่อมีการเก็บข้อมูลและใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ มากขึ้นตามการขยายตัวของระบบงานไอที ส่งผลให้เครื่องแม่ข่ายต้องประมวลผลการทำงานขนาดใหญ่ ให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงมีแนวคิดเทคโนโลยี Clustering เพื่อแชร์ทรัพยากรการประมวลผลที่ทำงานพร้อมกันหลายเครื่องได้ เมื่อนำแอพพลิเคชั่นมาใช้ร่วมกับเทคนิคนี้ รวมเรียกว่า Cloud Computing ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานแอพพลิเคชั่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ปราศจากข้อจำกัดทางกายภาพ เข้าสู่ยุคโลกเสมือนจริงทางคอมพิวเตอร์ (visualization) เทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นไอทีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green IT) ได้เช่นกัน

4. เทคโนโลยี Information security Compliance law
โลกไอทีเจริญเติบโตไม่หยุดนิ่ง ด้วยมาตรฐานที่หลากหลาย โดยเฉพาะในด้านระบบความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ จึงมีแนวโน้มจัดมาตรฐานเป็นหมวดหมู่ให้สอดคล้องกับความปลอดภัยข้อมูลในองค์กร โดยตัวเทคโนโลยีส่วนนี้จะนำ Log ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานมาจัดเปรียบเทียบตามมาตราฐานต่างๆ เช่น ISO27001 มาตราฐานสำหรับความปลอดภัยในองค์กร , PCI / DSS สำหรับการทำธุรกรรมการเงิน, HIPAA สำหรับธุรกิจโรงพยาบาล หรือในเมืองไทยที่มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ขึ้น โดยมีการตั้งหลักเกณฑ์การเก็บบันทึกข้อมูลจราจรขึ้น ทั้งหมดก็เพื่อต้องสืบหาผู้กระทำความผิดได้สะดวกขึ้น และหากทุกหน่วยงานให้สำคัญเรื่อง Compliance ความปลอดภัยจะเกิดขึ้นทั้งผมให้บริการและผู้ใช้บริการ

5. เทคโนโลยี Wi-Fi Mesh Connection
การใช้งานระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายที่แพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งต้องเชื่อมโยงผ่าน Access Point นั้น สามารถเชื่อมต่อแบบ Mesh (ตาข่าย) เพื่อเข้าถึงโลกออนไลน์ได้สะดวกขึ้น ผู้ให้บริการ Wi-Fi จึงมีแนวโน้มใช้แอพพลิเคชั่นในการเก็บบันทึกการใช้งานผู้ใช้ (Accounting Billing) และนำระบบ NIDS (Network Intrusion Detection System) มาใช้ เพื่อเฝ้าระวังการบุกรุกหลากรูปแบบ เช่น การดักข้อมูล, การ crack ค่า wireless เพื่อเข้าถึงระบบ หรือปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นโดยมิชอบ เป็นต้น

6. เทคโนโลยีป้องกันทางเกตเวย์แบบรวมศูนย์ (Unified Threat Management)
ถึงแม้เทคโนโลยีตัวนี้จะมีการใช้อย่างแพร่หลายแล้ว แต่ก็ยังต้องกล่าวถึงเนื่องจากธุรกิจในอนาคตที่มีบริษัท SME มากขึ้น และถือได้ว่ามีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรวมการป้องกันเป็น Firewall / Gatewayมีเทคโนโลยีป้องกันข้อมูลขยะ (Spam) การโจมตีของ Malware/virus/worm รวมถึงการใช้งานเว็บไซด์ที่ไม่เหมาะสม (Content filtering) รวมอยู่ในอุปกรณ์เดียว ที่ผ่านมาอุปกรณ์นี้มักมีปัญหาเรื่อง Performance หากเปิดใช้งานระบบป้องกันพร้อมๆกัน ซึ่งในอนาคต Performance ของอุปกรณ์นี้จะดีขึ้น

7. เทคโนโลยีเฝ้าระวังเชิงลึก (Network Forensics) การกลายพันธุ์ของ Virus/worm computer ทำให้ยากแก่การตรวจจับด้วยเทคนิคเดิม รวมถึงพนักงานในองค์กรมีทักษะใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้น ซึ่งอาจจะใช้ทักษะที่มีในทางที่ไม่เหมาะสม หรือเรียกได้ว่าเป็น “Insider hacker” จำเป็นอย่างมากสำหรับการมีเทคโนโลยีเฝ้าระวังเชิงลึก เพื่อตรวจจับสิ่งผิดปกติที่อาจขึ้นได้ ผ่านระบบเครือข่าย เพื่อใช้ในการพิสูจน์หาหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ในการดำเนินคดีความได้

8. เทคโนโลยี Load Balancing Switch สำหรับ Core Network เพื่อใช้ในการป้องกันการสูญหายของข้อมูล (Data loss) โดยเฉพาะในอนาคตความเร็วในการรับส่งข้อมูลบนระบบเครือข่ายจะมากขึ้น อุปกรณ์นี้จะช่วยให้กระจายโหลดเพื่อไปยังอุปกรณ์ป้องกันภัยอื่นๆ ได้ เช่น Network Firewall หรือ Network Security Monitoring และอื่นๆ โดยที่ข้อมูลไม่หลุดและสูญหาย

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman
27 / 11 / 51

วันพุธ, พฤศจิกายน 19

ธุรกรรมออนไลน์...ภัยร้ายแฝงเงามืด


เมื่อหลายเดือนก่อนได้เกิดคดีที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต โดยผู้เสียหายได้ใช้บริการ Internet Banking และตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเมื่อตรวจสอบพบว่ามีผู้ดักข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Key Logger ซึ่งคอยเก็บข้อมูลจากแป้นคีย์บอร์ดขณะใช้งาน และส่งผ่านระบบอินเตอร์เน็ตให้กับแฮกเกอร์ ซึ่งนำข้อมูลที่ได้สวมรอยเป็นผู้ใช้งาน เข้าทำธุรกรรมทางการเงิน สร้างความเสียหายมูลค่าไม่น้อย เหตุการณ์นี้สามารถป้องกันได้ หากผู้ใช้งานและผู้ให้บริการระบบธุรกรรมออนไลน์ตระหนักและรู้เท่าทันภัยคุกคาม ตลอดจนเสริมสร้างเทคโนโลยีให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบันแฮกเกอร์ไม่ได้มีเป้าหมายเจาะระบบเครือข่ายธนาคารหรือผู้ให้บริการธุรกรรมออนไลน์ เพื่อเข้าถึงชั้นความลับของลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่เปลี่ยนเป้าหมายเป็นผู้ใช้งาน (User) อินเตอร์เน็ต ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายกว่าแทน โดยอาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากมีการใช้งานอินเตอร์เน็ตอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น บางครั้งผู้ใช้งานอาจพยายามดาวน์โหลดโปรแกรมหรือข้อมูลบางอย่างที่แฮกเกอร์ได้เผยแพร่ไว้ตามเว็บสาธารณะยอดนิยม โดยโปรแกรมดังกล่าวมักมีชื่อที่ดึงดูดให้ดาวน์โหลด เช่น clip ฉาว, โปรแกรมเร่งความเร็ว, โปรแกรม crack serial number, โปรแกรมเกมส์ เป็นต้น เมื่อผู้ใช้งานหลงดาวน์โหลดโปรแกรมดังกล่าวมาติดตั้งในเครื่อง อาจมีมัลแวร์แฝงมากับไฟล์ ทำให้ผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่จ้องดักข้อมูลได้
ในแง่ผู้ใช้งานทั่วไป : ต้องป้องกันภัยคุกคามที่เกิดขึ้นโดยตระหนักรู้ และควบคุมพฤติกรรมตนเองในการใช้งานอินเตอร์เน็ต บนเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว, ไม่ดาวน์โหลดโปรแกรมที่ไม่มั่นใจในความปลอดภัย, หมั่นดูแลเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีการอัพเดททั้งซอฟต์แวร์ป้องกัน และ Patch, ตั้งรหัสผ่านที่ยากต่อการคาดเดา หากต้องทำธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต เช่น ซื้อสินค้า หรือทำธุรกรรมทางการเงิน ให้ทำบนเครื่องตนเองที่คิดว่าปลอดภัยแล้ว เลือกช่องทางการใช้งานให้ถูกต้อง เช่น เมื่อมีการ Login ผ่านเว็บไซต์ให้ดูว่าเป็นการผ่าน HTTPS หรือไม่ หากไม่ใช่ก็ไม่ควรใช้ โดยเฉพาะหากอยู่ในวง LAN ไม่ว่าจะเป็นร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ หรือบริษัท เพราะอาจมีการดัก User / Password ผ่านระบบเครือข่ายได้ และควรเลือกใช้บริการธุรกรรมอินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
ในแง่ผู้ให้บริการ : แม้ผู้ให้บริการจะออกแบบระบบเครือข่ายเป็นอย่างดีจนยากที่แฮกเกอร์จะเจาะระบบเข้ามาได้ แต่แฮกเกอร์สามารถเจาะผ่านทางผู้ใช้บริการได้ และเป็นวิธีที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้นอกจากต้องอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าแล้ว ผู้ให้บริการยังต้องให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีในการระบุตัวตนผู้ใช้งาน, ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและวิธีการใช้งานเมื่อลูกค้าต้องทำธุรกรรมผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ตลอดจนให้ความรู้แก่ลูกค้าให้รู้เท่าทันภัยคุกคามในปัจจุบัน
ในที่นี้ผมขอเน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยีการพิสูจน์ตัวตนของลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านอินเตอร์เน็ต ซึ่งที่ใช้กันอยู่มีสามรูปแบบคือ
* สิ่งที่คุณมี (Something you have) เช่น กุญแจไขประตู, บัตรอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ Token เป็นต้น
* สิ่งที่คุณรู้ (Something you know) คือ รหัสผ่านหรือชุดตัวเลขเฉพาะ
* สิ่งที่คุณเป็น (Something you are) เป็นการพิสูจน์ตัวตนแบบชีวมาตร เช่น ลายนิ้วมือ ระบบรู้จำเสียง ระบบสแกนม่านตา เป็นต้น
สำหรับการทำธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ตนั้น การพิสูจน์ตัวตนแบบปัจจัยเดียว (single-factor) อาจไม่รัดกุม และไม่เพียงพอต่อการให้บริการธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวขึ้น ควบคู่กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงควรใช้การพิสูจน์ตัวตนแบบสองปัจจัย (two-factor) ตัวอย่างที่เห็นเด่นชัดคือ เครื่องเอทีเอ็มที่ใช้บัตรพลาสติก (สิ่งที่คุณมี) ควบคู่กับหมายเลขเฉพาะสี่หลัก (สิ่งที่คุณรู้) เปรียบเทียบกับการพิสูจน์ตัวตนทางระบบเครือข่ายคือ การใช้ระบบ Token ร่วมกับรหัสผ่านนั่นเอง วิธีนี้จะช่วยยกระดับความปลอดภัยให้สูงขึ้นอีกขั้น และผู้ใช้บริการรายนั้นไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในการทำธุรกรรมของตนได้ ซึ่งระบบที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้โครงสร้างด้านความปลอดภัยแข็งแกร่งขึ้น ลดปัญหาการฉ้อฉลลงได้อีกทางหนึ่ง
นอกจากระบบพิสูจน์ตัวตนแล้ว ผู้ให้บริการควรมีนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยข้อมูล ตลอดจนวิธีการปฏิบัติและการควบคุมที่เหมาะสม และควรประเมินความสามารถของเทคนิคการพิสูจน์ตัวตนที่ใช้อยู่ว่าสามารถรับมือกับภัยคุกคามและความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ การประเมินความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงภายในระบบได้ สำหรับผู้ให้บริการธุรกรรมอินเตอร์เน็ตผ่าน Web Application ที่ยังไม่ได้จัดทำระบบแบบ two factor ก็ควรมีการเก็บค่าการ Login หน้าเว็บเพื่อที่สืบได้ว่าใครเข้ามาใช้บริการบ้าง (คำว่า ใคร ประกอบด้วย IP ที่เรียกใช้บริการ ชื่อ ISP ชุดคำสั่งในการใช้บริการ ได้แก่ ชนิดบราวเซอร์ ระบบปฏิบัติการ รวมถึง Session ID ของค่า Cookie ที่เครื่องแม่ข่ายให้บริการสร้างขึ้น เป็นต้น) ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า เช่นเดียวกับกล้องวงจรปิดที่ติดตามตู้ ATM จะทำให้ผู้บริการเก็บบันทึก Log ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อีกด้วย
มีเรื่องราวทางเทคนิคอีกมากมายที่เจาะลึกถึงการป้องกันภัยคุกคามทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากมีโอกาสจะได้นำเรียนเสนอในคราวต่อไป อย่างไรก็ดี ผู้ให้บริการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สถาบันการเงิน, ผู้ประกอบธุรกิจ E-Commerce ควรนำเทคโนโลยีการพิสูจน์ตัวตนแบบ Two-Factor Authentication มาใช้เป็นอย่างน้อย ตลอดจนให้ความรู้แก่ลูกค้าในการทำธุรกรรมผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อพวกมิจฉาชีพที่นับวันจะมีวิธีการที่ซับซ้อนแยบยลขึ้นทุกที

บทความหนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ
โดย นนทวรรธนะ สาระมาน บริษัท โกลบอลเทคโนโลยี อินทิเกรเทด จำกัด
11 / 51

วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 18

แนวทางการสร้างเครือข่ายตื่นรู้ Energetic Network ตอนที่ 1

เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2550 ผมได้ร่วมสัมนากับทาง สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (SIPA) ในหัวข้อการใช้โอเพนซอร์สกับภาครัฐ ตัวผมได้บรรยายหัวข้อซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สกับความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลในภาครัฐ ให้กับตัวแทนในแต่ละกระทรวงได้รับฟัง ซึ่งเป็นที่แรกที่ได้กล่าวถึงแนวคิดเครือข่ายตื่นรู้ หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Energetic Network หลังการบรรยายเสร็จสิ้นได้มี ผู้สนใจจำนวนมาก ผมจึงถือโอกาสนี้มาเรียบเรียงการบรรยายในครั้งนั้นเป็นการเขียนบทความในครั้งนี้ ซึ่งบางท่านคงได้รับอ่านบทคามนี้มาบ้างแล้วจากนิตยสารบางเล่มที่จำหน่ายในปัจจุบัน

1. สาระสำคัญของ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ปี พ.ศ. 2550
เมื่อมีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ขึ้น โดยการประกาศนี้มีโครงสร้างดังนี้

- คำนิยาม ชนิดการใช้งานคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ใน พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ฯ

- หมวดที่ 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

- หมวดที่ 2 พนักงานเจ้าหน้าที่

ในส่วนคำนิยาม อยู่ใน มาตรา 3 ซึ่งให้ความหมายและคำจำกัดความ ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ ข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ , ผู้ให้บริการ ซึ่งประกอบด้วย ผู้ให้บริการแก่ผู้อื่นในการเข้าสู่อินเตอร์เน็ท , ผู้ให้บริการเก็บรักษาคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์กับบุคคลอื่น และ ผู้ใช้บริการ

หมวดที่ 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยมาตรา 5 ,6,7,8,9,10,12 และ การใช้คอมพิวเตอร์ในการกระทำผิด ได้แก่ มาตรา 11,13,14,15,16

หมวดที่ 2 พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งในมาตรา 26 ผู้ให้บริการต้องเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ (ที่ได้ระบุไว้ในมาตรา 3) ไว้ไม่น้อยกว่า 90 วัน ซึ่งชนิดของผู้ให้บริการประกอบด้วย 4 ประเภทได้แก่

- ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม

- ผู้ให้บริการเข้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ISP , หน่วยงานราชการ , บริษัท , สถาบันการศึกษา , ผู้ให้บริการในการเข้าถึงระบบเครือข่ายในหอพัก , ร้านอาหาร , โรงแรม

- ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกว่า Hosting Services Provider

- ผู้ให้บริการร้านอินเตอร์เน็ท

โดยมีประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง หลักเกณฑ์การเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ปี 2550 ซึ่งมีสาระสำคัญกล่าวว่า "ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์นับเป็นพยานหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดี อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสืบสวน สอบสวน เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ จึงสมควรกำหนดให้ผู้ให้บริการมีหน้าที่ในการเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ดังกล่าว" ซึ่งระบบเก็บรักษาความลับของข้อมูลที่จัดเก็บ มีการกำหนดชั้นความลับในการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าว เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของข้อมูล และไม่ให้ผู้ดูแลระบบสามารถแก้ไขข้อมูลที่เก็บรักษาไว้ เช่น การเก็บไว้ใน Centralized Log Server หรือการทำ Data Archiving หรือ Data Hashing

แนวทางการสืบหาผู้กระทำผิด (Chain of Event) ตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

1. Who ใคร

2. What ทำอะไร

3. Where ที่ไหน

4. When เวลาใด

5. Why อย่างไร

เนื่องจากรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็น Real Time ไม่สามารถดูย้อนหลังได้ การที่จะสามารถดูย้อนหลังได้ ต้องมีการเก็บบันทึกข้อมูล ที่เรียกว่า Log และเพื่อเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าว

และป้องกันไม่ให้หลักฐานข้อมูลนั้นเปลี่ยนแปลงได้ จึงควรมีการทำ Chain of Custody คือเก็บบันทึกรักษาข้อมูลจราจรขึ้น และนี้เองคือสาระสำคัญของการออกกฏหมายฉบับนี้เพื่อป้องปราบ และเก็บบันทึกหลักฐาน เพื่อสืบสวนสอบสวน หาผู้กระทำผิดมาลงโทษ ดังนั้นการจัดหาเทคโนโลยีเพื่อเก็บรักษาหลักฐานข้อมูล เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เราจึงมีแนวคิดเพื่อจัดหาเทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหา และลดความซับซ้อนนี้ขึ้น เรียกว่า " การสร้างเครือข่ายตื่นรู้ "

2. คำนิยามการสร้างเครือข่ายตื่นรู้ องค์ประกอบสำคัญในด้านความมั่นคงปลอดภัยทางข้อมูลสารสนเทศ คือ เทคโนโลยี คน และ กระบวนการ สิ่งที่สามารถ ควบคุมได้ง่ายที่สุดคือ เรื่องเทคโนโลยี ถึงแม้จะไม่มีเทคโนโลยีใดทที่ทำงานแทนคนได้หมด และไม่มีเทคโนโลยีใดที่ป้องกันภัยคุกคามได้สมบูรณ์แบบ หากเราควบคุมเทคโนโลยีที่นำมาใช้ได้ และรู้ทันปัญหาที่เกิดขึ้น ประหยัดงบประมาณในการทุน ใช้ได้อย่างคุ้มค่า เราก็สามารถนำส่วนที่ต้องลงทุนทางเทคโนโลยีที่เหลือใช้ มาอบรมเจ้าหน้าที่พนักงานให้เกิดองค์ความรู้ และ จัดหากระบวนการเพื่อสร้างมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางข้อมูลสารสนเทศ ได้อย่างมีทิศทางมากขึ้น ดังนั้นในการสร้างเครือข่ายตื่นรู้จึงเป็นการ สรุปการจัดหาเทคโนโลยี มารองรับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดหาเทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยทางข้อมูล สมบูรณ์แบบ ที่เราสามารถระบุตัวตนของผู้ใช้งาน ระบุลักษณะการใช้งาน และบันทึกข้อมูลการใช้งานตามความเหมาะสมที่เกิดขึ้น สามารถยืนยันหลักฐานเพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ ทั้งในองค์กร และนอกองค์กรได้อย่างมีความสะดวกมากขึ้น มีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผลตามมา

3. จุดประสงค์การสร้างเครือข่ายตื่นรู้
3.1 ลดค่าใช้จ่ายในการนำเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยข้อมูล มาใช้เพื่อรองรับกับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์

3.2 เพื่อทราบถึงที่มาที่ไปของภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นภายในองค์กร

3.3 เพื่อระบุตัวตนการใช้งาน และเก็บบันทึกประวัติพฤติกรรมการใช้งานบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์

3.4 เพื่อจัดทำเป็นโครงสร้างในการออกแบบเครือข่ายให้ปลอดภัยอย่างยั้งยืน


4. องค์ประกอบ เครือข่ายตื่นรู้ (Energetic Network)

4.1 การจัดเก็บคลังข้อมูล (Inventory)

4.2 การระบุตัวตน (Identity)

4.3 การเฝ้าระวังและวิเคราะห์ผล (Monitoring & Analysis)

4.4 การควบคุม (Control)

4.5 การจัดเก็บเหตุการณ์เพื่อเปรียบเทียบตามมาตรฐาน (Compliance)

พบกันตอนหน้า จะอธิบายรายละเอียดในแ่ต่ละส่วน และแนวทางปฏิบัติ

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman
หัวหน้าทีมพัฒนาวิจัยเทคโนโลยี SRAN

วันจันทร์, ธันวาคม 3

ทำนาย 10 ภัยคุกคามทางอินเตอร์เน็ท 2008

ใกล้หมดปีไปอีกครั้งแล้วนะครับ ใครตั้งใจจะทำอะไรไว้ ยังไม่ได้ทำภายในปีนี้ก็ขอให้เรียบๆทำกันไว้ เวลานั้นไม่เคยคอยใคร พอใกล้หมดปี ก็มักจะมีคำทำนายในเรื่องต่างๆ เช่นกันในปีหน้า ภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2008 จะเป็นอย่างไรบ้างลองรับฟังกันดูเผื่อไว้ว่าจะช่วยในการป้องกัน กันได้ทัน เท่าที่ผ่านมาได้ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางอินเตอร์เน็ทในรูปแบบ ใหม่ๆ พบว่ามีหลายสำนักได้ตั้งข้อสังเกตไว้พอสมควร โดยเฉพาะเจ้าแรกที่กล้าออกมาทำนาย นั้นคือ Mcafee ยักษ์ใหญ่ในวงการ IT Security ระดับโลก ในทีมงาน SRAN ก็ได้เขียนทำนายไว้เช่นกัน ซึ่งมีความใกล้เคียงกับทาง Mcafee และคิดว่าในปี 2008 ภัยคุกคาม จะเน้นในเรื่องความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ข้อมูลที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ความประมาทในการใช้งานของ User รวมถึงอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ในรูปแบบต่างๆ ที่ทวีความซับซ้อน จะแบ่งหมวดหมู่ภัยคุกคามได้ดังนี้ครับ
กลุ่มภัยคุกคามที่พบในปี 2008
กลุ่มที่ 1 กองทัพ botnet ตัวกลางเชื่อมต่อภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ

กลุ่มที่ 2 ช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ
กลุ่มที่ 3 ภัยคุกคามจากความประมาทจากการใช้ข้อมูลส่วนตัวบนอินเตอร์เน็ท
กลุ่มที่ 1 กองทัพ Botnet ตัวกลางเชื่อมต่อภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ

ภัยคุกคามอันดับที่ 1 Storm Worm : อาชญกรทางคอมพิวเตอร์ จะใช้เทคนิคการสร้าง Storm Worm เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย สร้างสายพันธ์ของ worm ในการเปลี่ยนโค้ดที่ทำให้ระบบซอฟต์แวร์ Anti virus ไม่สามารถตรวจจับได้ ซึงการเกิด Storm Worm นั้นเป็นการติดโปรแกรมไม่พึ่งประสงค์ บนเจตนาของผู้บุกรุกที่สร้างขึ้น โปรแกรมไม่พึ่งสงค์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “malware” คือซอฟต์แวร์ที่สูญเสีย C (Confidentiality) I (Integrity) และ A (Availability) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ทั้งหมด จนทำให้เกิดเป็น Virus , Worm , Trojan , Spyware , Backdoor และ Rootkit ซึ่ง Storm worm เป็นลักษณะการแพร่กระจายสายพันธ์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงโค้ด ทำให้เกิดความเสียหายกับเครื่องที่ติด worm เหล่านี้ ผลลัพธ์ของ Storm worm คือเครื่องที่ติด worm ชนิดเหล่านี้จะถูกเรียกว่า “Zombie” ที่พร้อมที่จะควบคุมให้ทำการใดการหนึ่ง เช่น การส่ง Spam , การโจมตีชนิดที่เรียกว่า DDoS/DoS เป็นต้น หาก Zombie จำนวนมากกว่า 1 เครื่อง ก็เรียกว่า Botnet นั้นเอง ในปี 2008 กองทัพ Botnet ที่พร้อมใช้งานจะมีอัตราที่สูงขึ้น และอาจมีการซื้อขาย กองทัพ Botnet ในกลุ่มอาชญกรคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้โจมตีเครือข่ายเครือข่ายขนาดใหญ่ ได้ต่อไป

ภัยคุกคามอันดับที่ 2 : Parasitics Malware เป็นไวรัสที่แก้ไขไฟล์ที่อยู่ในดิสก์ และใส่โค้ดเข้าไปในไฟล์ ในปีที่ผ่านมาจะพบว่าผู้เขียนไวรัสจะใช้วิธีนี้สร้างไวรัสชนิดต่างๆ ตัวอย่างเช่น Grum , Virut และ Almanahe คาดว่าจะมี Parasitics Malware เติบโตขึ้นในปี 2008 และการฝั่งโค้ดเข้าไปในไฟล์ จากเดิมเน้นการทำลายเครื่องให้เกิดความผิดปกติ ก็จะทำฝั่งตัวควบคุมเครื่อง อาจเป็น Backdoor , Trojan , หรือ Script บางอย่างที่ทำให้เครื่องติด Parasitic Malware ตกเป็นทาส (Zombie) ได้ซึ่งการเกิด Zombie หลายๆเครื่อง ก็จะกลายเป็นกองทัพ Botnet ที่พร้อมใช้งานในการโจมตีต่อไป

สัดส่วนการเจริญเติบโตจากภัยคุกคามชนิด Parasitics Malware จาก Mcafee

ภัยคุกคามอันดับที่ 3 : การยึดระบบเสมือนจริง (Virtualization) ผู้ สร้าง Malware พยายามค้นหาช่องโฆว่ในระบบ Virtualization มากขึ้นการที่ได้ควบคุมระบบปฏิบัติการเสมือน ในการสร้างกองทัพ Botnet และเพื่อการแพร่กระจายการติดเชื้อแบบ Storm worm ขึ้น ทั้งนี้เพื่อสร้างจำนวน Zombie แบบไร้ตัวตนให้มากขึ้น Virtualization เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้สามารถแบ่งพาทิชันคอมพิวเตอร์ให้สามารถรันซอฟต์แวร์ และแอพพลิเคชันในจำนวนมากๆ หรือแม้แต่รันระบบปฏิบัติการได้หลายๆ ตัวพร้อมกันซึ่งพื้นที่ที่แบ่งพาทิชันขึ้นนั้นมักรู้จักกันว่า “Virtual Space” หรือ “Container” โดยปัจจุบัน Virtual lization Technology มีการใช้งานกันมากขึ้น

ช่องโหว่ที่ค้นพบบนระบบเสมือน

ภัยคุกคามอันดับที่ 4 FastFlux เป็นเทคนิคทาง DNS ที่ใช้โดย Botnet เพื่อซ่อนเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ให้บริการ Phisihing และมัลแวร์ ที่อยู่เบื้องหลังเครือข่ายของโฮสต์ที่ถูกบุกรุกทำตัวเป็น Proxy ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รวมถึงเครือข่ายแบบ Peer-to-Peer รวมกันหลายเครือข่าย ใช้เทคนิคต่างๆ ได้แก่ การใช้คำสั่งและการควบคุมแบบกระจาย (Distributed) การใช้ Load Balancing และการเปลี่ยนเส้นทาง proxy เพื่อทำให้การเครือข่ายมัลแวร์ยากต่อการถูกตรวจพบและการป้องกัน Storm Worm เป็นหนึ่งในมัลแวร์ที่ใช้เทคนิคเหล่านี้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอาจพบการใช้ fast flux ในการโจมตี phishing ที่มีเชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากร รวมถึงการโจมตี MySpace ด้วยในปี 2008 นี้

ในปี 2008 อาจมีอาชีพใหม่ ในการค้าขาย กองทัพ botnet ในตลาดอินเตอร์เน็ทก็เป็นได้ ทั้งนี้กองทัพ botnet อาจจะมีมากในประเทศที่พึ่งมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ท และระบบเครือข่ายใหม่ๆ ที่ยังขาดการป้องกันภัยที่ดี อีกทั้งจะมีจำนวนมากขึ้นสำหรับประเทศที่ยังไม่มีกฎหมายเอาผิดกับผู้ใช้ botnet ซึ่งผลที่เกิดจากการโจมตีของ Botnet ไม่ใช่แค่เพียงการส่ง Spam , DDoS/DoS , Virus/worm อีกต่อไป แต่เป็นภัยคุกคามอื่น ที่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นก็เป็นไปได้

จำนวน botnet ในแต่ละวัน

กลุ่มที่ 2 ภัยคุกคามจากช่องโหวที่พบบนระบบปฏิบัติการ ่

ภัยคุกคามอันดับ 5 : Operating System Vulnerability : ระบบปฏิบัติการที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าเป็น Linux / BSD , MaC OS หรือ Windows Microsoft นำไปใช้บน Appliance ต่างๆ รวมไปถึงระบบมือถือ ที่ในปีหน้า 2008 นี้เองจะเห็นว่าคนทั่วไปพกมือถือที่มีมัลติมีเดีย และสามารถท่องโลกอินเตอร์เน็ทได้ สามารถทำอะไรๆ ที่ต้องการได้ ทำงานแทน Notebook ได้ ไม่ว่าเป็นมือถือที่ระบบปฏิบัติการของ Mac ที่ชื่อว่า iPhone หรือพวก Windows Mobile ซึ่งในปีหน้าอาจพบช่องโหว่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเครื่องมือถือมากขึ้น ไม่ว่าเป็นพวก Virus/worm, Spam เหล่านี้สร้างความเสียหายไม่น้อยกว่าเครื่อง PC ที่ใช้กันทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจาก Application ที่มากขึ้น บนตัวระบบ Operating System ทำให้ภาพรวมการใช้งาน จะพบช่องโหว่มาขึ้นจาก Application มากกว่า OS ก็ตาม หลายคนยังตั้งข้อสังเกตถึงระบบปฏิบัติการใหม่ของ Windows Microsoft ที่ชื่อว่า Vista ที่ยังมีช่องโหว่และไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันเวลา ซึ่งจะขยายผลต่อให้เกิดภัยคุกคามใหม่ที่ฝั่งเข้าสู่ระบบ และสร้างเป็น Zombie ต่อไปได้เช่นกัน

กลุ่มที่ 3 ภัยคุกคามจากความประมาทจากการใช้ข้อมูลส่วนตัวบนอินเตอร์เน็ท

กลุ่มที่ 3 ภัยคุกคามจากความประมาทจากการใช้ข้อมูลส่วนตัวบนอินเตอร์เน็ท ซึ่งส่วนตัวผมถือว่าเป็นกลุ่มภัยคุกคามประจำปี 2008 เนื่องจากการเจริญเติบโตการใช้งานอินเตอร์เน็ทที่มากขึ้นและความซับซ้อนของ รูปแบบการใช้งาน มีผลให้เกิดอาชญกรรมเกี่ยวกับการขโมยข้อมูลส่วนตัว การนำข้อมูลส่วนตัวมาเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาติ และการหลอกหลวงทางเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาานอินเตอร์เน็ท ส่วนบุคคลมากขึ้นนั่นเอง สรุปว่ากลุ่มนี้ เหยื่อมักเกิดจาก ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ การทำนายภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในปี 2008 ในกลุ่มที่ 3 นี้ก็เพื่อป้องกันไม่สิ่งเหล่านี้เกิดกับตนเอง และคนใกล้ตัวให้พึ่งระวังได้

ภัยคุกคามอันดับที่ 6 : ซอฟต์แวร์ไม่พึ่งประสงค์จากการใช้สนทนาออนไลท์ (Instant Malware) เป็นการใช้งานที่ประมาทของผู้ใช้เอง ที่อาจจะดาวโหลดซอฟต์แวร์จาก คู่สนทนาที่ไม่รู้จัก หรือรู้จัก มีไฟล์แนบมา หรือที่พบมากขึ้นคือ ในรูปแบบของ Flash ที่สามารถเอ็กซิคิวท์ตัวเองได้ มาพร้อมกับโปรแกรมประเภท Instant Messaging

ช่องโหว่ที่ค้นพบจากการใช้งาน IM ในแต่ละปี

ภัยคุกคามอันดับที่ 7 : บริการเกมส์ออนไลน์ (Online Gaming) ผู้ใช้บริการอาจตกเป็นเหยื่อ เนื่องจากของในเกมส์สามารถซื้อขายกันเงินจริงๆได้ ตัวอย่างเห็นได้จากโทรจันที่ขโมยรหัสผ่านของบริการเกมส์ออนไลน์ ในปี 2007 จะมีอัตราเติบโตเร็วกว่าจำนวนของโทรจันที่มีเป้าหมายกับผู้ใช้บริการของ ธนาคาร

Powered by Gregarious (42)
ภัยคุกคามอันดับที่ 8 : สังคมออนไลท์แบบเปิด (Social Networking) กับการใช้ข้อมูลบน Web 2.0 เป็นที่รู้กันว่าสังคมแบบเปิดบนโลกอินเตอร์เน็ทมีจำนวนมากขึ้นจากเทคโนโลยี Web 2.0 สิ่งที่ตามมา ผมเคยทำนายไว้ในบท 7 ภัยคุกคามปี 2007 ไปแล้วว่าการควบคุม Social Networking เป็นเรื่องยาก เพื่อเนื้อหาเกิดจากผู้ใช้งานทุกคน ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างเนื้อบนเว็บไซด์ การควบคุมเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก เรามักได้ยินข่าวการโพสเรื่องราวการหมิ่นประมาทสิทธิส่วนบุคคล การกล่าวร้าย การกล่าวเท็จ ปิดเบือนข้อเท็จจริง บน Web 2.0 รวมถึงพวก Web Board อยู่ตลอดทั้งปี ไม่ว่าเป็น Youtube , Camfroge , Myspace.com เป็นต้น หรือแม้เว็บไทยของเราก็มีจำนวนไม่น้อยที่เกิดเรื่องเหล่านี้ การควบคุมทัศนะคติแต่บุคคลที่เข้ามา Post เนื้อหาในเว็บเป็นเรื่องที่ควบคุมลำบาก แต่เป็นเรื่องไม่ยากในการทราบที่มาที่ไปของการ Post สิ่งเหล่านี้ จึงทำให้มีการหลอกหลวงจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จากการใช้งาน Web 2.0 มากขึ้น และผลการคาดการแล้วพบว่าอาจเกิดมีผู้โจมตีจะใช้เวบไซต์ที่ใช้เทคโนโลยี Web 2.0 เพื่อแพร่กระจายมัลแวร์และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการจากเว็บเพื่อค้นหาข้อมูลที่ผู้ใช้แชร์ไว้เพื่อทำให้การโจมตีดู เหมือนจริงมากยิ่งขึ้น

ภัยคุกคามอันดับที่ 9 การหลอกลวงจากการใช้เทคโนโลยี VoIP : ในปีคศ.2007 จำนวนของช่องโหว่ที่รายงานเกี่ยวกับ VoIP มากกว่ารายงานช่องโหว่ในปีคศ.2006 ถึงสองเท่า นอกจากนี้ยังมีรายงานเกี่ยวกับการโจมตีที่เรียกว่า vishing และ phreaking ซึ่งอาจเกิด Spam บน VoIP และการหลอกลวงจาก Botnet ที่เป็นเสียงมากับมือถือโดยใช้เทคนิค (Social Engineering) ได้เช่นกัน

VoIP-Voice Over IP หรือที่เรียกกันว่า “VoIP Gateway” หมายถึง การส่งเสียงบนเครือข่ายไอพี เป็นระบบที่แปลงสัญญาณเสียงในรูปของสัญญาณไฟฟ้ามาเปลี่ยนเป็นสัญญาณดิจิตอล คือ นำข้อมูลเสียงมาบีบอัดและบรรจุลงเป็นแพ็กเก็ต ไอพี (IP) แล้วส่งไปโดยมีเราเตอร์ (Router) ที่เป็นตัวรับสัญญาณแพ็กเก็ต และแก้ปัญหาบางอย่างให้ เช่น การบีบอัดสัญญาณเสียงให้มีขนาดเล็กลง การแก้ปัญหาเมื่อมีบางแพ็กเก็ตสูญหาย หรือได้มาล่าช้า (delay)การสื่อสารผ่านทางเครือข่ายไอพีต้องมีเราเตอร์ (Router) ที่ทำหน้าที่พิเศษเพื่อประกันคุณภาพช่องสัญญาณไอพีนี้ เพื่อให้ข้อมูลไปถึง ปลายทางหรือกลับมาได้อย่างถูกต้องและอาจมีการให้สิทธิพิเศษก่อนแพ็กเก็ตไอพี อื่น (Quality of Service : QoS) เพื่อการให้บริการที่ทำให้เสียงมีคุณภาพ

นอกจากนั้น Voice over IP (VoIP) ยังเป็นการส่งข้อมูลเสียงแบบ 2 ทางบนระบบเครือข่ายแบบ packet-switched IP network. ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกส่งผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสาธารณะเพื่อสื่อสารระหว่าง VoIP ด้วยกัน โดยที่ยังคงความเป็นส่วนตัวไว้ได้

เทคโนโลยีนี้ยังใหม่และยังขาดวิธีที่ใช้ในการป้องกัน คาดว่าจะมีการโจมตี VoIP เพิ่มขึ้นร้อลละ 50 ในปีคศ.2008 หรือแม้แต่กระทั่งมัลแวร์ (Malware) ที่โจมตี VoIP แพร่กระจายสู่วงกว้าง

ภัยคุกคามอันดับ 10 :การติดกับดักทางข้อมูล (Information pitfall) เรื่องนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ และเคยเขียนบทความเรื่องนี้ในเดือนเมษายน ปี 2007 ที่บอกว่าเป็นเรื่องใหญ่เพราะว่าเป็นการสร้างความเชื่อให้เกิดขึ้นกับบุคคล การสร้างกลยุทธการตลาดเข้ามาเพื่อสร้างภาพ สร้างความเชื่อ หากเป็นความเชื่อที่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และมีคุณธรรม ก็ดีไป แต่หากเป็นการสร้างความเชื่อ เพื่อหลอกหลวง ก็จะทำให้เกิดความเสียหายได้เช่นกัน ตัวอย่างเราจะพบว่า Scam Web , Phishing Web , Adsware ที่ติดมากับ Web ถึงแม้จะจำนวนน้อยลงเพราะคนเริ่มตะหนักถึงภัยคุกคามที่ตามจากเข้าเว็บพวกนี้ แต่ก็ยังมีจำนวนคนไม่น้อยที่ยังตกเป็นเหยื่ออยู่ตลอดทั้งปี สิ่งนี้จะจางหายไปกับกับระบบป้องกันภัยทั้งด้านระบบป้องกันภัยทางเครือข่าย (Network) และระบบป้องกันภัยระดับเครื่องคอมพิวเตอร์ (Host) ที่มีความทันสมัยและฉลาดในวิธีการป้องกันก็ตาม การสร้างค่านิยม บนความเชื่อ ถือว่ามีความเกี่ยวพันกับความมั่นคงของชาติในอนาคต มันอาจเป็นเรื่องพูดได้ยากในขณะนี้ เพราะทุกคน ยินดีต้อนรับเทคโนโลยีที่มาจากต่างประเทศ โดยไม่คิดว่าผลสืบเนื่องในอนาคต ซึ่งอาจนำมาถึงการตกเป็นอนานิคมทางเทคโนโลยี (Information Technology Colonization) โดยยินยอมพร้อมใจก็ได้

ความเชื่อ จากค่านิยม ที่คิดว่าต่างประเทศดีกว่าเรา เป็นเรื่องยากที่แก้ไข แต่ไม่สายที่ดำเนินการ ถึงเวลาที่เราทุกคนต้องสร้างความเชื่อมั่นว่า คนไทยไม่แพ้ไคร ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครในโลกนี้

สวัสดีปีใหม่ครับ

นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman

วันพุธ, สิงหาคม 29

จุดจบซอฟต์แวร์ Anti Virus ตอนที่ 1

หลายคนมักสนใจกับคำว่า "จุดจบ" เพราะจุดจบอาจจะเหลือเพียงประวัติศาสตร์ สำหรับผมแล้วที่ตั้งหัวข้อนี้ว่า จุดจบซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส เป็นเพียงมุมมองและความคิดของผมเองนะครับ ท่านผู้อ่านลองคิด วิเคราะห์ตามว่าเห็นด้วยอย่างที่ผมคิดหรือเปล่า

ในอดีตที่ผ่าน เรามีอดีตกับ เทคโนโลยีสำหรับงานสื่อสาร ที่ถือได้ว่าเลิกใช้งานไปแล้ว หรือที่เรียกได้ว่าเกิดจุดจบของระบบไปเสียแล้ว หากลองลำดับดูหน่อยดีไหมครับว่ามีอะไรบ้าง เท่าที่ผมจะคิดได้ก็มีดังนี้

- ระบบโทรเลข กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปเสียแล้วปัจจุบันก็ไม่มีใครใช้บริการโทรเลขแล้ว
- ระบบเพจเจอร์ ปัจจุบันก็เหลือน้อยจนเรียกได้ว่า ไม่มีผู้ใช้งานระบบนี้ไปแล้วเช่นกัน
- เทคโนโลยีบรรจุข้อมูล เช่นเดียวกันกับเรื่องของตลับเทปเพลง ที่สมัยนี้ฟังจาก MP3 ที่จุเพลงได้จำนวนมากแทน รวมถึงเทปวีดิโอ และ Disked ที่ใส่ข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็แทบจะไม่มีแล้ว Notebook สมัยใหม่ก็ไม่มีช่องเสียบแผ่น Disked ไปเสียแล้ว ยุคสมัยทำให้เปลี่ยนไปเป็นพัฒนากลายเป็น แผ่น CD ตามมาด้วยการจุข้อมูลที่เรียกว่า Personal External Hard disk ที่จุข้อมูลได้เยอะกว่า และสะดวกในการใช้งานแทนที่ของเดิมที่เคยใช้กัน

และอีกบางส่วนที่กำลังจะเกิดจุดจบได้ในประเทศไทย เราอีกระบบคือ ตู้โทรศัพท์หยอดเหรียฐ สมัยนี้เกือบทุกคนก็ติดต่อผ่านมือถือ คงเหลือไว้เพียงตู้โทรศัพท์สำหรับเหตุฉุกเฉินเมื่อแบตเตอรี่มือถือหมด หรือเหตุใดๆ ที่ต้องการซ่อนเบอร์เพื่อติดต่อหาผู้อื่น
ระบบการส่งข้อมูลแบบ Token Ring ที่ในปัจจุบันระบบนี้ไม่สะดวกกับการใช้งานนัก และการรับส่งข้อมูลก็อยู่ในอัตตราที่ล้าสมัยไม่รวดเร็วเหมือนเทคโนโลยีใหม่ , ระบบการทำงานบนเครื่อง MainFrame เนื่องจากราคาสูง และการใช้งานเฉพาะทาง ที่ปัจจุบันหาระบบมาใช้ทดแทนกันได้ โดยราคาประหยัดลง เทคโนโลยีนี้จึงค่อยหายไปในโลกปัจจุบันไป , ระบบการส่งข้อมูลที่ใช้และระบบการทำงานที่ยังต้องยึดติด Application software จากระบบปฏิบัติการโบราณ ได้แก่ ระบบ DOS , Windows 3.11 , Windows 95 เป็นต้น

โลกสมัยปัจจุบัน ดังนี้
แนวคิดที่อยู่ได้คือ แนวคิดแบบ Open Source
เว็บไซด์ www สมัยใหม่เกิดจากแนวคิดแบบ Open Source จึงทำให้เกิด community (ชุมชน online) และทำให้เกิด Web 2.0 ตามมา เป็นไปตามเหตุปัจจัย หรือ อิทัปปัจจยตา นั้นเอง
เช่นเดียว google แนวคิดแบบทฤษฎึเกมส์ (Game Theory) ทำให้เกิด แนวคิด google Summer of Code เป็นต้น

ซอฟต์แวร์ แอนตี้ไวรัส ถึงเวลาแล้วหรือ ที่จะเกิดจุดจบ ? ยังหลอกครับแค่ผมมองอนาคตไปไกลอีกแล้ว แค่มีความเป็นไปได้เท่านั้นเอง ว่าอาจจะถึงจุดจบ ด้วยเหตุผล 2 ประการ ดังนี้

ประการที่ 1 ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส ถือได้ว่าเป็น Blacklisting Technology นั้นหมายถึงต้องอาศัยฐานข้อมูล (Data Base / Signature) เพื่อให้ทราบถึง ชื่อ ประเภทและข้อมูลของไวรัส ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้ใช้จำเป็นต้อง Update ฐานข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ถึงจะปลอดภัยกับปัญหาไวรัสและภัยคุกคามตัวอื่นๆ ไม่ว่าเป็น Worm , Trojan / SPyware/ Adware / Spam ไปได้ โดยเฉพาะสมัยนี้ถือได้ว่ามีชนิดไวรัสใหม่ๆ เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน แต่ละชั่วโมง และต่อไปอาจเป็นแต่ละนาที หรือแต่ละวินาที ก็อาจเป็นไปได้
ฉะนั้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมีจำนนวนมากขึ้น มีผู้ไม่หวังดีมากขึ้นตามจำนวนการใช้งาน เกิดมีผู้เขียนไวรัสมากขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้เอง ทำให้ผู้ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัส ต้องหมั่นตรวจสอบตัวเองเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อได้ แน่นอนย่อมพลาดและเสียทีให้กับไวรัส ที่ไม่พึ่งประสงค์ได้




จากข้อมูล shadowserver พบว่ามีไวรัสเกิดใหม่ทุกๆวันและมีปริมาณที่สูงขึ้น และมีไวรัสที่แอนตี้ไวรัสเจ้าอื่นๆที่ขายและให้บริการอยู่ไม่สามารถตรวจตรงกันได้เช่นกัน
ทำให้เดาได้ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หากใช้ระบบปฏิบัติ Windows อาจจะจำเป็นต้องลงโปรแกรมแอนตี้ไวรัสมากกว่า 1 ชนิดในเครื่องเดียวกัน เพื่อป้องกันการตรวจจับไม่เจอของไวรัสคอมพิวเตอร์อีกด้วย จึงเป็นเรื่องที่ยาก ที่จะไม่ทำให้เครื่องใช้งานส่วนบุคคล ทำงานช้าเพราะมั่วแต่ Update ฐานข้อมูล และการตรวจจับแบบ Real Time ที่ค่อยป้องกันให้เครื่องปลอดภัยในการท่องอินเตอร์เน็ต แต่ละวันได้ ไม่ว่าเป็นการเปิดเว็บ สมัยใหม่ด้วยแล้ว เปิดเว็บเพียงหน้าเดียวแต่ติดต่อกับมายังเครื่องเราหลาย session เนื่องจากเป็น Dynamic Web ความเสี่ยงตามมา การใช้อีเมล์ ความเสี่ยงที่พบไม่ว่าเป็น Spam และ phishing รวมถึง Scam Web อาจทำให้เราตกเป็นเหยื่อได้ ถึงแม้ใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสก็ตาม
เหตุของปัจจัยที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลช้า เนื่องจากโปรแกรมแอนตี้ไวรัส ที่ใช้ Blacklist Technology คือ
1. เครื่องคอมพิวเตอร์หน่วง เน่ืองจากฐานข้อมูล และกลไกลในการตรวจจับแบบ Real Time
2. เคร่ืองคอมพิวเตอร์หน่วง เนื่องจาก ซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสไปเกาะการทำงานระบบ Operating System เพื่อใช้ในการ Update ข้อมูล และตรวจค่า License กับบริษัทผู้ผลิต
3. ลักษณะการใช้งานอินเตอร์เน็ตในยุคปัจจุบัน ที่ต้องท่องอินเตอร์เน็ตผ่าน (www) แล้วมีลักษณะการเขียน เว็บที่เป็น Dynamic โดยอาศัยเทคโนโลยี Ajax ที่การประมวลผลจะมาหนักที่เครื่องลูกข่าย (Client) จึงเป็นผลเครื่องคอมพิวเตอร์ช้า และโปรแกรมแอนตี้ไวรัสจะทำงานหนักขึ้นอีกด้วย
4. โปรแกรมแอนตี้ไวรัสในยุคปัจจุบัน มักรวมความสามารถในการตรวจจับได้ในหลายส่วน เรียกว่า เป็น Internet Security ที่ประกอบด้วย การป้องกันไวรัส worm ป้องกัน Spam , phishing และ scam web เป็นต้น จึงทำให้ต้องการฐานข้อมูลที่มากพอ ที่จะเรียนรู้ภัยคุกคามสมัยใหม่ ได้ทัน
5. ภัยคุกคามที่เรียกว่า 0 day เกิดจากช่องโหว่ของ Application Software มีมากขึ้นตามจำนวนซอฟต์แวร์ใหม่ ที่เกิดขึ้น จึงทำให้ต้องมีการแข่งขันกันสำหรับผู้ผลิต ถึงฐานข้อมูลโปรแกรมแอนตี้ไวรัส ต้องตามให้ทันกับภัยคุกคามสมัยใหม่

โปรดติดต่อตอนต่อไป
นนทวรรธนะ สาระมาน
Nontawattana Saraman
28/08/50